รุมเก็งกำไร เทรดหุ้นกระฉูด 8.6 หมื่นล้านบาท ทำสถิติสูงสุด หากไม่รวมบิ๊กล็อตกลุ่มชินคอร์ปปี 2549 "ทนง" มองยังห่างฟองสบู่ ชี้หุ้นขึ้นเพราะอานิสงส์รัฐลดภาษีนิติบุคคล หนุนผลประกอบการบริษัทกำไรงาม ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 12 มี.ค.2556 ปิด 1,576.68 จุด ลดลง 0.97 จุด มูลค่าการซื้อขาย 86,277.65 ล้านบาท โดยดัชนีสูงสุด 1,586.41 จุด และต่ำสุด 1,570.53 จุด นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 570.36 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 654.52ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,315.85 ล้านบาท และนักลงทุนภายในประเทศขายสุทธิ 1,231.69 ล้านบาท นายสมชาย อเนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันที่ 12 มี.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าตามแรงเก็งกำไรที่มีอยู่ในตลาดหุ้นทั่วภูมิภาค ก่อนจะปรับตัวลงมาในช่วงบ่าย แต่ลบไม่มาก หากเทียบกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค โดยตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 86,277.65 ล้านบาท ถ้าไม่นับวันที่ 23 ม.ค.2549 ที่มีการซื้อขายรายการใหญ่ (บิ๊กล็อต) หุ้นในกลุ่มชินคอร์ป จะถือได้ว่าวันที่ 12 มี.ค.เป็นวันที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยประเมินว่าเกิดจากการเล่น 2 รอบของนักลงทุน คือเข้ามาเก็งกำไรและขายออกไปในช่วงเช้า ก่อนจะกลับมาถือในช่วงบ่าย จึงทำให้วันนี้วอลุ่มการซื้อขายสูงมาก ด้าน นายทนง พิทยะ อดีต รมว.การคลัง กล่าวในงานสัมมนาทิศทางตลาดหุ้นไทย ว่า ตอนนี้ยังไม่เห็นสัญญาณฟองสบู่ในตลาดหุ้นไทย โดยมองว่าที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาสูงในช่วงนี้ เป็นเพราะผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดี เนื่องจากการปรับลดภาษีนิติบุคคลของรัฐบาลในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก เนื่องจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติยังมีโอกาสไหลเข้ามายังตลาดหุ้นไทยได้อีกมาก เพราะปัจจุบันเม็ดเงินของต่างชาติที่ไหลเข้ามายังตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยวันละ 2,000 ล้านบาท ถือว่าค่อนข้างน้อย หากเทียบกับมูลค่าการซื้อขาย ซึ่งอยู่ที่วันละประมาณ 50,000 ล้านบาท “ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดี เนื่องจากการปรับลดภาษีนิติบุคคลของรัฐบาล ทำให้บริษัทจดทะเบียนต่างๆ ได้ประโยชน์ มีกำไรเติบโตมากถึง 17% เป็นกำไรที่เกิดจากการดำเนินงานจริงแค่ 7% นอกนั้นอีก 10% เป็นกำไรที่เกิดจากการได้ลดภาษีนิติบุคคลของรัฐบาล ทำให้ไม่แปลกที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นมา เพราะผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนออกมาดี” นายทนงกล่าว ในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น ตอนนี้เริ่มเห็นสัญญาณการเข้ามาซื้อที่ดินของนักลงทุนต่างชาติ ที่โยกเงินจากการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนและยุโรปมายังไทย อีกทั้งยังมีกลุ่มนักลงทุนสิงคโปร์ที่เข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไทย เนื่องจากมองว่าที่ดินของไทยหากเทียบกับสิงคโปร์ถือว่าถูกกว่า 10 เท่า.